ในปัจจุบันการแข่งขันบนโลกออนไลน์ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทำธุรกิจหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องหาเครื่องมือที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของตัวเองสามารถติดอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERP) ของ Google ได้ ซึ่ง Ahrefs คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่นักการตลาดและ SEO มืออาชีพให้ความไว้วางใจ บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Ahrefs ให้มากขึ้น ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงการใช้งานจริงในแง่มุมต่าง ๆ
Ahrefs คืออะไร?
Ahrefs คือชุดเครื่องมือสำหรับ SEO ที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ Backlink, การวิจัยคำหลัก (Keyword Research), การตรวจสอบอันดับ (Rank Tracking), การวิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่ง และการตรวจสอบปัญหาทางเทคนิคของเว็บไซต์ (Site Audit) โดยเป้าหมายหลักของ Ahrefs คือการช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจสถานะของเว็บไซต์ตัวเองและคู่แข่งได้ดียิ่งขึ้น เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ให้มีประสิทธิภาพและช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงขึ้นบน Google
หัวใจสำคัญของ Ahrefs คือฐานข้อมูล Backlink ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้ Ahrefs สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Backlink Profile ของเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำและน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งในการวางแผนกลยุทธ์ SEO
Ahrefs ทำอะไรได้บ้าง?
Ahrefs มีฟีเจอร์มากมายที่ช่วยให้การทำ SEO ของคุณง่ายขึ้น โดยฟีเจอร์หลัก ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่มีดังนี้:
1. Site Explorer: วิเคราะห์เว็บไซต์และ Backlink Profile ของคู่แข่ง
นี่คือฟีเจอร์ที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกของ Ahrefs เลยก็ว่าได้ Site Explorer ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์เว็บไซต์ใด ๆ ก็ได้ โดยเมื่อคุณใส่ URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการวิเคราะห์ลงไป Ahrefs จะแสดงข้อมูลสำคัญมากมาย เช่น:
- คะแนนความแข็งแกร่งของโดเมน (Domain Rating – DR): เป็นคะแนนที่ Ahrefs ใช้ประเมินความแข็งแกร่งของเว็บไซต์ โดยพิจารณาจากจำนวนและความน่าเชื่อถือของ Backlink ที่เว็บไซต์นั้นได้รับ
- จำนวน Backlink ทั้งหมด (Total Backlinks): แสดงจำนวน Backlink ทั้งหมดที่เว็บไซต์ได้รับ
- จำนวนโดเมนอ้างอิง (Referring Domains): แสดงจำนวนเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกันที่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ
- อันดับการเข้าชมจาก Organic Search (Organic Keywords): แสดงจำนวนคำหลักที่เว็บไซต์ของคุณติดอันดับใน Google
- ปริมาณการเข้าชมจาก Organic Search (Organic Traffic): ประมาณการจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จาก Organic Search
การวิเคราะห์ Backlink Profile ของคู่แข่ง
การวิเคราะห์ Backlink Profile ของคู่แข่งถือเป็นหนึ่งในเทคนิคสำคัญของการทำ SEO ที่ Ahrefs ช่วยให้ทำได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถใช้ Site Explorer เพื่อดูว่าคู่แข่งของคุณได้รับ Backlink มาจากไหนบ้าง เว็บไซต์ที่ลิงก์มามีความน่าเชื่อถือแค่ไหน และใช้ Anchor Text (ข้อความบนลิงก์) แบบใด
การทำความเข้าใจ Backlink Profile ของคู่แข่งจะช่วยให้คุณ:
- ค้นหาโอกาสในการสร้าง Backlink: เมื่อคุณเห็นว่าคู่แข่งได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ใดบ้าง คุณก็สามารถพยายามติดต่อเว็บไซต์เหล่านั้นเพื่อขอ Backlink บ้างได้
- เข้าใจกลยุทธ์การสร้าง Backlink ของคู่แข่ง: การศึกษา Backlink ของคู่แข่งจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมว่าคู่แข่งใช้กลยุทธ์แบบใดในการสร้าง Backlink
- หลีกเลี่ยง Backlink ที่มีคุณภาพต่ำ: หากคุณเห็นว่าคู่แข่งมี Backlink จากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ คุณก็ควรรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงการสร้าง Backlink จากเว็บไซต์เหล่านั้น
2. Keywords Explorer: วิจัยคำหลักเพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ
การวิจัยคำหลัก (Keyword Research) เป็นรากฐานของการทำ SEO ที่ดี Keywords Explorer ของ Ahrefs ช่วยให้คุณสามารถ:
- ค้นหาคำหลักใหม่ ๆ: เพียงแค่คุณใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณลงไป Ahrefs ก็จะแสดงคำหลักที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย พร้อมข้อมูลสำคัญต่าง ๆ
- วิเคราะห์ความยากในการติดอันดับ (Keyword Difficulty – KD): คะแนน KD จะช่วยให้คุณประเมินได้ว่าการติดอันดับด้วยคำหลักนั้น ๆ ยากหรือง่ายแค่ไหน โดยคะแนนยิ่งสูงยิ่งยาก
- ปริมาณการค้นหา (Search Volume): แสดงจำนวนครั้งเฉลี่ยที่คำหลักนั้นถูกค้นหาต่อเดือน
- คำหลักที่คู่แข่งใช้: คุณสามารถดูได้ว่าคู่แข่งของคุณติดอันดับด้วยคำหลักใดบ้าง
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกคำหลักที่มีโอกาสในการติดอันดับสูงและมีปริมาณการค้นหาที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้
3. Site Audit: ตรวจสอบปัญหางานทางเทคนิคของเว็บไซต์
ปัญหางานทางเทคนิค (Technical SEO) อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่สามารถติดอันดับได้ดีเท่าที่ควร Site Audit ของ Ahrefs จะช่วยคุณสแกนเว็บไซต์เพื่อค้นหาปัญหาต่าง ๆ เช่น:
- ลิงก์เสีย (Broken Links): ลิงก์ที่นำผู้ใช้งานไปยังหน้าที่ไม่มีอยู่แล้ว
- เนื้อหาซ้ำซ้อน (Duplicate Content): เนื้อหาที่ซ้ำกับหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์
- ปัญหาเกี่ยวกับ Tag ที่สำคัญ: เช่น Title Tag, Meta Description
- ความเร็วของเว็บไซต์: Ahrefs สามารถช่วยประเมินความเร็วของเว็บไซต์ได้
การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะช่วยให้ Google สามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ส่งผลดีต่ออันดับในระยะยาว
4. Rank Tracker: ติดตามอันดับคำหลักของเว็บไซต์
การติดตามอันดับของเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณรู้ว่ากลยุทธ์ SEO ที่ทำไปได้ผลหรือไม่ Rank Tracker ของ Ahrefs ช่วยให้คุณสามารถ:
- เพิ่มคำหลักที่ต้องการติดตาม: คุณสามารถเพิ่มคำหลักที่สำคัญสำหรับธุรกิจของคุณเพื่อติดตามอันดับได้
- ดูอันดับที่เปลี่ยนแปลงไป: คุณสามารถดูได้ว่าอันดับของคำหลักนั้น ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในแต่ละวัน
- เปรียบเทียบอันดับกับคู่แข่ง: คุณสามารถเพิ่มคู่แข่งเพื่อดูว่าอันดับของเว็บไซต์คุณเมื่อเทียบกับคู่แข่งเป็นอย่างไร
ข้อมูลจาก Rank Tracker จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ได้อย่างทันท่วงที
สรุป
Ahrefs เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ต้องการทำ SEO อย่างจริงจัง ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ Ahrefs ก็มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์และช่วยให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ Backlink, วิจัยคำหลัก, ตรวจสอบ Technical SEO และติดตามอันดับ ทำให้ Ahrefs กลายเป็นเครื่องมือที่ไม่ลับที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแข่งขันและติดอันดับต้น ๆ บน Google ได้อย่างยั่งยืน