เปรียบเทียบแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ vs. เว็บไซต์ขายของ อันไหนดีกว่ากัน?

ในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การขายของออนไลน์กลายเป็นช่องทางหลักที่ธุรกิจต่างๆ ใช้ในการเข้าถึงลูกค้าและขยายตลาด เมื่อพูดถึงการขายของออนไลน์ สิ่งที่ต้องตัดสินใจตั้งแต่เริ่มต้นคือการเลือกช่องทางที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ โดยทั่วไปแล้ว การขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (เช่น Shopee, Lazada) หรือการสร้างเว็บไซต์ขายของเองต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่ผู้ขายต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

แพลตฟอร์มขายของออนไลน์เป็นตัวเลือกที่ช่วยให้ผู้ขายสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนสูง แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการควบคุมแบรนด์และการจ่ายค่าธรรมเนียมที่อาจส่งผลกระทบต่อกำไร ในขณะที่เว็บไซต์ขายของช่วยให้ผู้ขายสามารถควบคุมทุกด้านของการขายและสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เต็มที่ แต่ก็มีต้นทุนและความยุ่งยากในการสร้างและดูแลรักษาเว็บไซต์

การเลือกว่าจะใช้ช่องทางไหนจึงเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ทั้งในแง่ของงบประมาณ ความสะดวกในการใช้งาน และเป้าหมายระยะยาวของธุรกิจ ดังนั้นในบทความนี้ เราจะพาไปทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์และเว็บไซต์ขายของ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจในการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ของคุณ

การขายของออนไลน์ในปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกขนาดต้องคำนึงถึง เพราะผู้คนหันมาเลือกซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้น การขายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์และการสร้างเว็บไซต์ขายของมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและวัตถุประสงค์ของเจ้าของธุรกิจว่าจะเลือกช่องทางไหนในการขายสินค้าของตน ในบทความนี้เราจะเปรียบเทียบแพลตฟอร์มขายของออนไลน์และเว็บไซต์ขายของ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้ว่าควรเลือกใช้ช่องทางไหนที่เหมาะสมที่สุด

1. แพลตฟอร์มขายของออนไลน์

แพลตฟอร์มขายของออนไลน์คือเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ให้บริการเป็นตลาดกลางสำหรับผู้ขายและผู้ซื้อ โดยช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต บางแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่รู้จักกันดีในประเทศไทย เช่น Shopee, Lazada, JD Central, หรือในระดับสากลเช่น Amazon, eBay ซึ่งผู้ขายสามารถตั้งร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อขายสินค้าให้กับผู้ซื้อที่เข้ามาเยี่ยมชม

ลักษณะของแพลตฟอร์มขายของออนไลน์

  1. ตลาดกลาง (Marketplace): แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ทำหน้าที่เป็นตลาดกลางที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ สินค้าที่ขายจะรวมอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน ทำให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่หลากหลายภายในแพลตฟอร์มเดียว
  2. ระบบการจัดการที่ครบวงจร: แพลตฟอร์มส่วนใหญ่มีระบบที่ช่วยในการจัดการการขาย ตั้งแต่การลงสินค้า การรับชำระเงิน จัดการคำสั่งซื้อ การส่งสินค้า ไปจนถึงการติดตามสถานะการขนส่ง
  3. ระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย: แพลตฟอร์มออนไลน์มักจะมีระบบการชำระเงินที่มีความปลอดภัยสูง โดยส่วนใหญ่จะมีตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การจ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือการชำระเงินปลายทาง
  4. มีเครื่องมือและฟังก์ชั่นช่วยโปรโมตสินค้า: แพลตฟอร์มมักมีฟังก์ชั่นที่ช่วยในการโปรโมตสินค้าของผู้ขาย เช่น ระบบโฆษณาในแพลตฟอร์ม การลดราคา หรือการเข้าร่วมโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ ซึ่งช่วยเพิ่มการมองเห็นสินค้าและดึงดูดลูกค้า
  5. ฐานลูกค้าใหญ่: หนึ่งในข้อดีของการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์คือการที่ผู้ขายสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีอยู่ในแพลตฟอร์มอยู่แล้ว โดยไม่ต้องทำการตลาดหรือสร้างฐานลูกค้าขึ้นมาใหม่ ทำให้ผู้ขายสามารถเริ่มต้นได้ทันที

ประเภทของแพลตฟอร์มขายของออนไลน์

  1. แพลตฟอร์มขายของทั่วไป (General Marketplace): แพลตฟอร์มเหล่านี้มีสินค้าหลายประเภทที่ครอบคลุมทั้งสินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของตกแต่งบ้าน และอื่นๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Shopee, Lazada, Amazon ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ขายที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
  2. แพลตฟอร์มขายของเฉพาะกลุ่ม (Niche Marketplace): แพลตฟอร์มประเภทนี้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มสินค้าหรือบริการเฉพาะเจาะจง เช่น Etsy ซึ่งเน้นสินค้าทำมือ หรือเช่น eBay ที่มีสินค้าที่หลากหลายแต่เน้นไปที่การประมูลสินค้าหรือสินค้าหายาก
  3. แพลตฟอร์มขายของบริการ (Service Marketplace): แพลตฟอร์มบางแห่งไม่เพียงแต่ขายสินค้า แต่ยังให้บริการต่างๆ ด้วย เช่น Uber, AirBnb ซึ่งให้บริการในการจองที่พักหรือการใช้บริการต่างๆ ในลักษณะเดียวกัน

ข้อดีของการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์

  1. เข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก: แพลตฟอร์มเหล่านี้มีฐานลูกค้าหรือผู้ใช้งานจำนวนมาก ที่มักจะเข้าเยี่ยมชมแพลตฟอร์มเพื่อซื้อสินค้า ทำให้ผู้ขายสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเริ่มต้นสร้างฐานลูกค้าจากศูนย์
  2. การใช้งานที่สะดวก: แพลตฟอร์มออนไลน์มักมีการออกแบบที่ใช้งานง่าย ระบบที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ทำให้ผู้ขายสามารถลงสินค้าและจัดการร้านค้าได้ง่าย โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมาก
  3. ความปลอดภัยในการทำธุรกรรม: แพลตฟอร์มมักมีระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและมั่นคง ทำให้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อมั่นใจในการทำธุรกรรม โดยมีระบบป้องกันการโกงและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
  4. เครื่องมือช่วยในการโปรโมตสินค้า: แพลตฟอร์มต่างๆ มักมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ขายโปรโมตสินค้าของตน เช่น โปรโมชั่นลดราคา การโฆษณาสินค้าในแพลตฟอร์ม หรือการเข้าร่วมแคมเปญส่งเสริมการขาย ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า
  5. การสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม: แพลตฟอร์มออนไลน์มักมีทีมสนับสนุนลูกค้าที่สามารถช่วยเหลือผู้ขายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาด้านการจัดส่ง หรือการคืนสินค้า

ข้อเสียของการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์

  1. ค่าธรรมเนียมและการแบ่งรายได้: แพลตฟอร์มออนไลน์มักจะเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขายในรูปแบบของค่านายหน้า หรือค่าธรรมเนียมการขาย ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรของผู้ขายลดลง
  2. การแข่งขันสูง: เมื่อขายบนแพลตฟอร์มที่มีผู้ขายจำนวนมาก การแข่งขันเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าจะสูง ผู้ขายต้องใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดี เช่น การตั้งราคาโปรโมชั่น หรือการทำโฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้า
  3. การควบคุมแบรนด์ที่จำกัด: บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้ขายไม่สามารถควบคุมภาพลักษณ์หรือประสบการณ์ของลูกค้าได้มากนัก เนื่องจากผู้ขายต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดที่แพลตฟอร์มกำหนด ซึ่งอาจส่งผลต่อการสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์
  4. การพึ่งพาแพลตฟอร์ม: เมื่อขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้ขายต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มในการจัดการด้านต่างๆ เช่น การจัดการคำสั่งซื้อ การรับชำระเงิน หรือการจัดการการคืนสินค้าซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับผู้ขายที่ต้องการการควบคุมที่มากขึ้น

แพลตฟอร์มขายของออนไลน์เป็นช่องทางที่สะดวกและเข้าถึงผู้ซื้อจำนวนมาก ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ขายที่ต้องการเริ่มต้นขายสินค้าออนไลน์โดยไม่ต้องลงทุนมาก แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการแข่งขันสูงและค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์ม สำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าอย่างรวดเร็วและไม่ต้องการยุ่งยากในการสร้างเว็บไซต์ แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

2. เว็บไซต์ขายของ

เว็บไซต์ขายของ คือเว็บไซต์ที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ธุรกิจสามารถขายสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ต โดยเจ้าของธุรกิจสามารถสร้างและควบคุมทุกส่วนของเว็บไซต์ได้ตามต้องการ ซึ่งแตกต่างจากการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีข้อกำหนดและฟังก์ชั่นที่กำหนดโดยเจ้าของแพลตฟอร์ม เว็บไซต์ขายของให้ผู้ขายมีอิสระในการออกแบบการจัดการร้านค้า, การเลือกโครงสร้างหน้าเว็บไซต์, การปรับแต่งระบบการชำระเงิน และฟีเจอร์ต่างๆ ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง

การสร้างเว็บไซต์ขายของ

การสร้างเว็บไซต์ขายของไม่เพียงแค่การมีเว็บไซต์ที่สวยงามและใช้งานง่าย แต่ยังรวมถึงการติดตั้งระบบต่างๆ ที่สำคัญ เช่น ระบบตะกร้าสินค้า, ระบบการชำระเงินออนไลน์, ระบบจัดการคำสั่งซื้อ, การจัดการสินค้าคงคลัง, ระบบจัดส่งสินค้า และอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงการเลือกแพลตฟอร์มการสร้างเว็บไซต์ เช่น WordPress, Shopify, Wix หรือการพัฒนาเว็บไซต์จากการเขียนโค้ดเองที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของธุรกิจ

ข้อดีของเว็บไซต์ขายของ

  1. การควบคุมแบรนด์เต็มรูปแบบ: เจ้าของธุรกิจสามารถออกแบบเว็บไซต์ให้ตรงกับภาพลักษณ์ของแบรนด์และมีความสอดคล้องกันได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสี, ฟอนต์, รูปแบบการจัดวางหน้าเว็บ หรือแม้แต่การสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ไม่เหมือนใคร
  2. ไม่มีค่าธรรมเนียมการขาย: ต่างจากการขายบนแพลตฟอร์มที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจากการขายหรือการโปรโมตสินค้า การขายผ่านเว็บไซต์ของตัวเองไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับบุคคลที่สาม ทำให้สามารถเก็บกำไรได้มากขึ้น
  3. เพิ่มความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่ออกแบบอย่างมืออาชีพสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณได้ เพราะลูกค้าสามารถรับรู้ได้ว่าคุณมีความจริงจังและมุ่งมั่นในธุรกิจนี้
  4. การเก็บข้อมูลลูกค้า: เว็บไซต์ขายของช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ที่อยู่อีเมลและประวัติการซื้อ เพื่อใช้ในการทำการตลาดในอนาคต เช่น การส่งโปรโมชั่นพิเศษหรือการโฆษณาผ่านช่องทางต่างๆ
  5. ความยืดหยุ่นในการดำเนินการ: การที่เว็บไซต์ของคุณเป็นของคุณเองทำให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน เช่น การจัดการสินค้าที่มีอยู่, การเพิ่มสินค้าหรือโปรโมชันใหม่ๆ ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากบุคคลที่สาม

ข้อเสียของเว็บไซต์ขายของ

  1. ต้องลงทุนสูง: การสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ต้องใช้ต้นทุนในการออกแบบ, พัฒนา, ซื้อโดเมน, โฮสติ้ง, และอาจต้องจ้างนักพัฒนาหรือทีมงานมืออาชีพมาช่วยเหลือในการพัฒนาเว็บไซต์
  2. ต้องทำการตลาดเอง: แม้ว่าเว็บไซต์จะเป็นของคุณเอง แต่คุณยังต้องใช้ทรัพยากรในการทำการตลาด เช่น การทำ SEO (Search Engine Optimization), การโฆษณาผ่าน Google หรือ Facebook Ads เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ได้
  3. ต้องดูแลรักษาเว็บไซต์: เว็บไซต์ต้องได้รับการอัปเดตและดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย การอัปเดตระบบการชำระเงิน หรือการแก้ไขข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น
  4. การจัดการระบบชำระเงินและการจัดส่ง: คุณต้องจัดการระบบการชำระเงินและการจัดส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะต้องทำการวิจัยและเลือกระบบที่เหมาะสม รวมถึงการเชื่อมต่อกับบริการจัดส่งต่างๆ

การเลือกใช้เว็บไซต์ขายของ

การเลือกใช้เว็บไซต์ขายของเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความเป็นเอกลักษณ์และมีการควบคุมการดำเนินการทั้งหมด ตั้งแต่การออกแบบร้านค้า การจัดการข้อมูลลูกค้า ไปจนถึงระบบการจัดการสินค้าหรือการทำการตลาด นอกจากนี้ยังเหมาะสมกับธุรกิจที่มีสินค้าเฉพาะทางหรือธุรกิจที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า เพราะเว็บไซต์ช่วยให้คุณสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ซื้อ

3. เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย

ลักษณะ แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ เว็บไซต์ขายของ
ต้นทุนเริ่มต้น ต่ำ สูง
การเข้าถึงลูกค้า ง่ายและเร็ว ต้องลงทุนในการทำการตลาด
การควบคุมแบรนด์ จำกัด เต็มที่
ค่าธรรมเนียม มีค่าธรรมเนียมการขาย ไม่มีค่าธรรมเนียมการขาย
การออกแบบและฟังก์ชั่น จำกัดตามแพลตฟอร์ม ออกแบบได้ตามต้องการ
ความปลอดภัยในการชำระเงิน ปลอดภัยจากแพลตฟอร์ม ต้องดูแลเอง

ในส่วนนี้เราจะขยายความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละช่องทางการขายออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำการตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลที่ครบถ้วน โดยจะเน้นอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะต่างๆ ที่ผู้ขายต้องพิจารณาก่อนเลือกใช้แต่ละช่องทาง

1. ต้นทุนเริ่มต้น

  • แพลตฟอร์มขายของออนไลน์
    ข้อดี:
    การเริ่มต้นขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนสูง เพราะแพลตฟอร์มต่างๆ ให้บริการโดยไม่มีค่าธรรมเนียมในการเปิดร้านค้า (หรือมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อยในการลงขายสินค้า) ผู้ขายสามารถเริ่มต้นได้ทันทีและไม่ต้องห่วงเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์หรือระบบชำระเงิน

    ข้อเสีย:
    แม้ว่าต้นทุนเริ่มต้นจะต่ำ แต่ในระยะยาวแพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะมีค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการขาย ค่าธรรมเนียมการโปรโมทสินค้า หรือค่าส่งสินค้า ซึ่งอาจจะทำให้กำไรของผู้ขายลดลง โดยเฉพาะหากขายสินค้าในปริมาณมาก

  • เว็บไซต์ขายของ
    ข้อดี:
    การสร้างเว็บไซต์ขายของจะมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเว็บไซต์ รวมถึงการซื้อโดเมนและโฮสติ้ง แต่หลังจากเว็บไซต์พร้อมใช้งานแล้ว ผู้ขายไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับแพลตฟอร์มใดๆ ซึ่งสามารถทำให้ธุรกิจมีอิสระในการตั้งราคาสินค้าและสร้างรายได้ได้เต็มที่

    ข้อเสีย:
    การลงทุนเริ่มต้นในการสร้างเว็บไซต์อาจมีราคาสูง โดยเฉพาะหากผู้ขายต้องจ้างนักพัฒนาเว็บหรือดีไซเนอร์ในการออกแบบเว็บไซต์ให้มีความน่าสนใจ นอกจากนี้ ยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเว็บไซต์ และอาจจะต้องจ่ายค่าบริการต่างๆ เช่น ค่า SEO หรือการโปรโมตเว็บไซต์

2. การเข้าถึงลูกค้า

  • แพลตฟอร์มขายของออนไลน์
    ข้อดี:
    แพลตฟอร์มขายของออนไลน์มีฐานลูกค้าในตัวอยู่แล้ว ด้วยผู้ใช้จำนวนมหาศาลจากทั่วโลก ทำให้การเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ เป็นเรื่องง่าย ไม่ต้องทำการตลาดมากมาย ผู้ขายสามารถเริ่มขายได้ทันทีและเห็นผลลัพธ์ในระยะสั้น

    ข้อเสีย:
    การที่แพลตฟอร์มมีผู้ขายจำนวนมากทำให้มีการแข่งขันสูง ผู้ขายอาจต้องใช้จ่ายเพิ่มเติมในการโปรโมทสินค้าของตนเพื่อให้โดดเด่นจากคู่แข่ง นอกจากนี้ การที่ลูกค้าจะเจอสินค้าของผู้ขายโดยตรงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายหากไม่มีกลยุทธ์การตลาดที่ดี

  • เว็บไซต์ขายของ
    ข้อดี:
    เมื่อสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง ผู้ขายสามารถควบคุมการทำการตลาดได้เต็มที่ สามารถใช้กลยุทธ์ SEO, การโฆษณาผ่าน Google Ads หรือการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อดึงดูดลูกค้าได้ตามต้องการ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้

    ข้อเสีย:
    การเข้าถึงลูกค้าจากเว็บไซต์ขายของเองนั้นยากกว่า โดยเฉพาะหากเว็บไซต์ยังไม่ได้รับความนิยม การทำการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าจำเป็นต้องใช้เวลาและงบประมาณค่อนข้างมาก และอาจจะต้องพึ่งพาการทำ SEO หรือการโฆษณาเพื่อให้ลูกค้ารู้จักเว็บไซต์

3. การควบคุมแบรนด์

  • แพลตฟอร์มขายของออนไลน์
    ข้อดี:
    แพลตฟอร์มออนไลน์มีฟังก์ชันที่ช่วยในการตั้งค่าร้านค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถเลือกภาพสินค้าหรือเขียนคำอธิบายสินค้าได้อย่างง่ายดาย แม้จะมีข้อจำกัดในการออกแบบร้านค้า แต่ยังสามารถสร้างโปรไฟล์ร้านค้าที่ดึงดูดลูกค้าได้ในระดับหนึ่ง

    ข้อเสีย:
    ผู้ขายไม่สามารถควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าได้ทั้งหมด แพลตฟอร์มมีข้อกำหนดและข้อบังคับที่ผู้ขายต้องปฏิบัติตาม ซึ่งอาจทำให้แบรนด์ไม่สามารถแสดงออกได้เต็มที่ นอกจากนี้ รูปแบบการจัดร้านและหน้าตาของร้านค้าก็ถูกจำกัดตามรูปแบบที่แพลตฟอร์มกำหนด

  • เว็บไซต์ขายของ
    ข้อดี:
    การมีเว็บไซต์ขายของเองให้ผู้ขายสามารถควบคุมทุกแง่มุมของแบรนด์ได้ เช่น การออกแบบเว็บไซต์ การเลือกสีสัน การจัดวางสินค้าต่างๆ และการสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์

    ข้อเสีย:
    หากไม่มีการออกแบบที่ดี เว็บไซต์อาจทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ผู้ขายต้องลงทุนในด้านการออกแบบและการดูแลรักษาเว็บไซต์ให้สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นตลอดเวลา

4. การดูแลและความปลอดภัย

  • แพลตฟอร์มขายของออนไลน์
    ข้อดี:
    แพลตฟอร์มออนไลน์มีระบบรักษาความปลอดภัยและระบบการชำระเงินที่ได้มาตรฐาน โดยผู้ขายไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรักษาข้อมูลหรือความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้จัดการในส่วนนี้ให้

    ข้อเสีย:
    การที่ข้อมูลของลูกค้าอยู่ในระบบของแพลตฟอร์มทำให้ผู้ขายไม่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าสำคัญได้เต็มที่ ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่สามารถทำการตลาดต่อยอดได้ง่าย

  • เว็บไซต์ขายของ
    ข้อดี:
    ผู้ขายสามารถควบคุมข้อมูลลูกค้าได้เต็มที่ และสามารถเก็บข้อมูลสำคัญเพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงการทำการตลาดได้

    ข้อเสีย:
    เว็บไซต์ของตัวเองต้องมีการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เช่น การเข้ารหัสข้อมูลและการป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ ซึ่งเป็นภาระที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบ

การเลือกว่าจะใช้แพลตฟอร์มขายของออนไลน์หรือเว็บไซต์ขายของนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการและความสามารถของผู้ขาย ในด้านต้นทุน การควบคุมแบรนด์ และการเข้าถึงลูกค้า ทั้งสองช่องทางมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อเลือกช่องทางที่เหมาะสมที่สุดกับธุรกิจของคุณ

 

บทสรุป

การเลือกว่าจะใช้แพลตฟอร์มขายของออนไลน์หรือเว็บไซต์ขายของนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและเป้าหมายของผู้ขาย หากธุรกิจของคุณเพิ่งเริ่มต้นและต้องการเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากโดยไม่ต้องลงทุนมาก แพลตฟอร์มออนไลน์อาจเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากการเข้าถึงลูกค้าและการใช้งานง่าย แต่หากคุณต้องการควบคุมแบรนด์และประสบการณ์ลูกค้าได้เต็มที่ รวมถึงมีงบประมาณและทรัพยากรในการทำการตลาด เว็บไซต์ขายของอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า